เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [11. เอกาทสกนิบาต] 2. ชุณหชาดก (457)
2. ชุณหชาดก (456)
ว่าด้วยพระเจ้าชุณหะ
(พราหมณ์เมื่อจะสนทนาจึงกล่าวกราบทูลว่า)
[13] ขอเดชะพระองค์ผู้เป็นจอมชน
ขอพระองค์ทรงสดับวาจาของข้าพระองค์
ข้าพระองค์มาถึงที่นี้เพราะความประสงค์อย่างหนึ่งในพระเจ้าชุณหะ
ขอเดชะพระองค์ผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ทั้งหลาย
บัณฑิตทั้งหลายไม่พูดกับพราหมณ์
ผู้เดินทางมายืนคอยขออยู่ว่า พึงไปข้างหน้าเถิด
(พระราชาทรงสดับคำของพราหมณ์จึงตรัสว่า)
[14] พราหมณ์ เราฟังอยู่ เราคอยอยู่ เชิญพูดเถิด
ท่านมาถึงที่นี้เพราะประสงค์อะไร
หรือท่านประสงค์ประโยชน์อะไรในเราจึงมาถึงที่นี้
เชิญพูดมาเถิดพราหมณ์
(พราหมณ์และพระราชากล่าวโต้ตอบกันว่า)
[15] ขอพระองค์ทรงพระราชทานบ้านส่วย 5 ตำบล
สาวใช้ 100 คน โค 700 ตัว ทองคำเกิน 1,000 แท่ง
ภรรยา 2 คนที่มีชาติสกุลเหมาะสมแก่ข้าพระองค์
[16] พราหมณ์ ตบะอันน่าสะพรึงกลัวของท่านมีอยู่หรือ
มนต์อันวิจิตรของท่านมีอยู่หรือ
ยักษ์บางพวกที่เชื่อฟังท่านมีอยู่หรือ
อีกอย่างหนึ่ง ประโยชน์ที่เราได้ทำไว้แล้วท่านรู้ชัดหรือ
[17] ตบะของข้าพระองค์ก็ไม่มี แม้มนต์ก็ไม่มี
แม้พวกยักษ์บางเหล่าที่เชื่อฟังข้าพระองค์ก็ไม่มี
ถึงประโยชน์ที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้แล้วข้าพระองค์ก็ไม่ทราบชัด
เพียงแต่ข้าพระองค์ได้พบกับฝ่าพระบาทมาก่อนเท่านั้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 27 หน้า :356 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [11. เอกาทสกนิบาต] 2. ชุณหชาดก (457)
[18] เรารู้ว่า ครั้งนี้เป็นการพบครั้งแรก
ก่อนหน้านี้เราไม่รู้จักท่าน
เราถามแล้ว ท่านจงบอกความข้อนี้แก่เราว่า
เราได้พบกันเมื่อไรหรือที่ไหน
[19] ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพ
เราทั้งหลายได้พักอยู่ที่ตักกศิลา
ในเมืองของพระเจ้าคันธารราชอันน่ารื่นรมย์
ณ สถานที่นั้น ในเวลากลางคืนที่มืดมิดเราได้กระทบไหล่กัน
[20] ขอเดชะพระองค์ผู้เป็นจอมชน
เราทั้ง 2 นั้นยืนอยู่ตรงนั้น ได้สนทนาชวนให้ระลึกถึงกัน ณ ที่นั้น
อันนั้นเป็นการพบกันของเราเท่านั้นเอง
ต่อจากนั้น ไม่ว่าภายหลังหรือเมื่อก่อน
ไม่มีการเจอะเจอกันเลย
[21] พราหมณ์ การสมาคมกับคนดี
ย่อมมีในมนุษย์ทั้งหลายเป็นบางครั้ง
ในกาลบางคราวบัณฑิตทั้งหลายไม่ทำการสมาคมหรือสันถวไมตรี
หรือแม้คุณความดีที่เขาทำไว้ในกาลก่อนให้เสื่อมสูญไป
[22] ส่วนคนพาลทั้งหลายย่อมทำการสมาคมหรือสันถวไมตรี
หรือคุณความดีที่ทำไว้ในกาลก่อนให้เสื่อมสูญไปบ้าง
คุณเป็นอันมากที่ทำไว้ในคนพาลทั้งหลายก็เสื่อมสูญไปเองบ้าง
เป็นความจริง คนพาลทั้งหลายเป็นคนอกตัญญู
[23] ส่วนนักปราชญ์ทั้งหลายไม่ทำการสมาคมหรือสันถวไมตรี
หรือแม้คุณความดีที่ทำไว้ในกาลก่อนให้เสื่อมสูญไป
คุณความดีที่ทำไว้ในนักปราชญ์ทั้งหลายแม้เล็กน้อย
ก็ไม่เสื่อมสลายไป
เป็นความจริง นักปราชญ์ทั้งหลายเป็นคนมีความกตัญญูด้วยดี

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 27 หน้า :357 }